จากกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลว่ามี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านซอยลาดพร้าวถูกคนร้ายบุกเข้ามาก่อเหตุทำร้ายร่างกายถึงภายในร้านเหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาก่อนที่เจ้าของร้านจะใช้เวลารวบรวมหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดจากภายในร้านและรอบจุดเกิดเหตุและสืบหาความเชื่อมโยงของผู้ก่อเหตุยืนยันได้ว่าไม่ได้เป็นการทำร้ายร่างกายผิดตัวและมีการนำเสนอผ่านโลกโซเชียล และทางช่อง 3 ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว
ความคืบหน้าวันนี้ นายเปาว์ สระทองคำ เจ้าของร้านอาหารบุดดาเฮ้าท์ เดินทางเข้าพบพันตำรวจเอกสุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร หลังผู้ก่อเหตุมีการประสานผ่านทางผู้ใหญ่เพื่อขอเข้าเจรจา โดยการพูดคุยเจรจาใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงก่อนที่ทางผู้ก่อเหตุจะเดินออกจาก ห้องประชุมและกลับออกจากสน.โดยไม่มีการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนที่เฝ้ารออยู่ที่บริเวณหน้าห้อง
ในเวลาต่อมาคุณเปาว์ ได้ระบุว่าการพูดคุยในวันนี้ ตนเองยืนยันว่าหากผู้ก่อเหตุยอมรับสารภาพว่าใครเป็นผู้สั่งการให้มาก่อเหตุก็พร้อมจะไม่แจ้งความและยุติทุกอย่างทางคดีเพราะไม่อยากมีปัญหาแต่ที่ต้องการทราบเนื่องจากจะได้ให้ผู้สั่งการรู้ว่าตนเองรับรู้แล้วว่าเป็นใครจะได้ไม่มีการกลับมาก่อเหตุซ้ำเพราะตนเองต้องทำมาหากินประกอบธุรกิจร้านอาหารและทางครอบครัวมีความวิตกกังวล แต่จากการพูดคุยผู้ก่อเหตุยังคงอ้างว่าในวันเกิดเหตุอยู่ในอาการมึนเมาส่วนที่ก่อเหตุลงมือต่อยตนเองเนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นแฟน เก่าของแฟนสาวที่โกรธแค้นกันอยู่ และในวันก่อเหตุได้มีการติดต่อพี่ชายให้เดินทางมารับไม่ได้มีการยกพวกมาจะทำร้ายหรือหาเรื่อง ทางตำรวจจึงมีการติดต่อทางโทรศัพท์ไปถึงพี่ชายของผู้ก่อเหตุที่มีการอ้างชื่อถึงซึ่งทางพี่ชายของผู้ก่อเหตุได้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่าในวันเกิดเหตุได้รับการติดต่อจากผู้ก่อเหตุให้ไปรับเนื่องจากมีการดื่มสุราจนมึนเมาพี่ชายจึงเดินทางไปรับด้วยการนั่งรถแท็กซี่มาลงที่หน้าปากซอยและเดินเท้าเข้ามาที่ร้านเพื่อมารอรับน้องชายแต่จากวงจรปิดทั้งหมดที่ตนเองได้รวบรวมไว้และให้ทางผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร ดูกลับไม่ตรงกับคำให้ การของพี่ชายรวมถึงผู้ก่อเหตุ เพราะ ในวงจรปิดสามารถบันทึกได้ว่าพี่ชายเดินทางร่วมมากับผู้ก่อเหตุและมาเฝ้ารออยู่ภายในร้านก่อนจะมีการก่อเหตุและออกไปรวมตัวขว้างปาเก้าอี้อยู่ที่บริเวณหน้าร้านซึ่งจำนวนของผู้ก่อเหตุมีมากกว่าสองรายแต่พี่ชายอ้างว่าเดินทางไปรวมกันแค่สองรายซึ่งถือว่าขัดแย้งกับภาพที่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดรอบจุดเกิดเหตุ และเป็นกล้องวงจรปิดที่ไม่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงคาดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะไม่ได้เตรียมตัวเพราะไม่เห็นหลักฐานชุดนี้
ซึ่งเมื่อมีการสอบถามว่าเหตุใดข้อมูลที่ให้มาจึงไม่ตรงกับภาพที่อยู่ในวงจรปิดทั้งสองไม่สามารถตอบได้ ในขั้นตอนต่อจากนี้ทราบว่าจะมีการเรียกตัวพี่ชายที่ขณะนี้ยังคง อยู่ที่ต่างจังหวัดให้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เนื่องจากทางผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสารมองว่าการให้ข้อมูลกับทางตำรวจของผู้ก่อเหตุไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่หลักฐานจากกล้องวงจรปิดปีซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน่าจะเข้าข่ายประมาณสามข้อหาคือร่วมกันทำร้ายร่างกาย , ร่วมกันบุกรุกเคหะสถานยามวิกาล, และความผิดเกี่ยวกับการพกพาอาวุธมีด ส่วนจะมีข้อหาอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่เบื้องต้นทางตำรวจอยู่ระหว่างการพิจารณา
ตนเองยืนยันว่าในวันนี้จุดประสงค์ต้องการเข้ามาเคลียร์เพื่อยุติปัญหาแต่ในเมื่อทางคู่กรณีไม่ยอมพูดความจริงก็จะเดินหน้าทำตามขั้นตอนทางกฎหมาย ส่วนที่มีผู้ใหญ่ติดต่อประสานงานมาที่ทางผู้กำกับการตนเองได้สอบถามในประเด็นนี้ซึ่งมีการพูดชื่อถึงบุคคลหนึ่งซึ่งทางผู้ก่อเหตุอ้างว่าไม่มีเบอร์ติดต่อและไม่มีชื่อจริงรวมถึงทางผู้กำกับการเองก็ไม่รู้จักจึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ที่เป็นตัวกลางในการนัดเจรจาเลยครั้งนี้คือใคร
ขณะที่ในส่วนของความรู้สึกส่วนตัวตั้งแต่วันเกิดเหตุมาจนถึงปัจจุบันยังคงรู้สึกเฉยเฉยไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวใดใดมีแต่ครอบครัวและภรรยาที่ยังคงตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งได้มีการกำชับไม่ให้ตนเองเข้าร้านโดยไม่จำเป็น เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุซ้ำขึ้นได้อีก