กรณีเพจสายไหมต้องรอดเดินทางไปช่วยเหลือเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่หนีรอดออกมาได้ โดยเป็นการไปช่วยเหลือถึงพื้นที่ริมชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้เสียหายยังเป็นเยาวชนชายอายุเพียง 18 ปี พร้อมกับเปิดเผยเรื่องราวที่น่าตกใจในระหว่างที่ใช้ชีวิตทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่นั่น ล่าสุดนาน 3 เดือน
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา วันที่ 25 ม.ค. 65 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วย สส.เขตสายไหม และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำผู้เสียหายเดินทางมาร้องทุกข์กล่าวโทษและขอให้มีการคุ้มครองพยาน ผู้เสียหายที่เป็นเยาวชนชายรายนี้ โดยมีว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รับเรื่อง
เยาวชนชายผู้เสียหาย ได้เล่าย้อนไปเมื่อครั้งถูกหลอกไปทำงานเป็นหนึ่งในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านว่า เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2564 ที่ผ่านมาตนเองต้องการหางานทำ จึง ปิดดูใน Facebook ชื่อว่า “หางานในปอยเปต” จากนั้นก็มี เอเย่นหรือนายหน้า ทักเข้ามาว่าสนใจจะไปทำงานที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชาหรือไม่ ค่าจ้างเดือนละ 40,000 บาท จึงตัดสินใจ จากนั้นก็มีการนัดหมาย มีรถตู้มารับถึงที่ และไปถึงชายแดนอำเภอ โคกสูงจังหวัดสระแก้ว จากนั้นก็มีคนจากฝั่งนู้นข้ามมารับ ไปที่อยู่ที่อาคารแห่งหนึ่งในปอยเปต ร่วมกับเหยื่อคนไทยอีกกว่า 100 คน โดยอาคารดังกล่าวจะมีแก๊งมาเฟียค้ามนุษย์ชาวจีนเป็นคนคุม ลักษณะตัวอาคารเป็นกำแพงสูงแนวรั้วรอบขอบชิดมีรั้วไฟฟ้า คนไทยทั้งหมดจะถูกบังคับให้ทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่เป็นตัวละครต่างๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ทนายความ จนท.กรมสอบสวนคดีพิเศษ ปปส.หลอกลวงชักจูงคนไทยให้หลงเชื้อในกลโกงต่างๆที่แก๊งชาวจีนเป็นคนคิดกลอุบายขึ้นมีคนไทยถูกหลอกจนหมดตัวมาแล้วเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ที่สะเทือนใจที่สุดคือ มีชายไทยคนหนึ่ง พักอาศัยอยู่ที่พัทยา จ.ชลบุรี ติดต่อเข้ามาเพื่อขอกู้เงินจำนวน 235,000 บาท เพื่อจะนำเงินพาแม่ไปผ่าตัดรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาประมาณ 300,000 บาท แต่ชายไทยคนดังกล่าวแจ้งว่ามีเงินติดตัวอยู่ 65,000 บาท จึงขอกู้เงินแค่ 235,000 บาท เพื่อจะนำไปรักษาแม่ที่ป่วย แต่กลับถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินไปค้ำประกันจนหมดตัว เมื่อชายไทยคนดังกล่าวรู้ว่าถูกหลอก จึงได้โทรวีดีโอคอลมาหาแก๊งมิจฉาชีพชาวจีน เพื่อขอคืนเงินเนื่องจากเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จะต้องนำไปรักษาแม่ที่ป่วย แต่ถูกแก๊งมิจฉาชีพปฏิเสธ พร้อมด่าทอว่าโง่ ต่างๆนาๆ สุดท้ายชายไทยคนดังกล่าว หยิบอาวุธปืนขึ้นมาแล้วจ่อยิงที่ขมับตัวเองขณะที่ยังคุยวีดีโอคอลอยู่ต่อหน้าแก๊งมิจฉาชีพ
ช่วงเวลาที่ตนเองไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ประมาณ 3 เดือน คือตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม ตอนนั้นก็คิดหาทางหนีทีไล่ แต่แก๊งดังกล่าวได้ยึดโทรศัพท์ และอนุญาตให้ออกมาซื้อของข้างนอกได้เดือนละ 1 ครั้ง ทุกครั้งที่ตนเองออกมาซื้อของก็จะพยายามจำเส้นทางและพยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวเขมร ครั้งสุดท้ายที่ตนเองได้รับอนุญาตให้ออกมาซื้อของข้างนอก จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกมา โดยใช้เวลากว่า 2 วันกว่าจะมาถึงชายแดน ส่วนแม่ของตนเองได้ประสานทีมงานสายไหมต้องรอดไว้แล้ว และนัดหมายให้มารับที่บริเวณ ชายแดนฝั่งอำเภอโคกสูงของไทย
เยาวชนผู้เสียหายรายนี้ยังบอกอีกว่า วันที่ตนเองเดินทางข้ามฝั่งไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มีจุดสังเกตคือพื้นที่ที่รอนัดหมายฝั่งไทย จะมีอาคารทรงไทยขนาดใหญ่และมีลานจอดรถมีรถหรูจอดเป็นจำนวนมาก แต่จุดที่ตนเองหนีออกมา และมีทีมงานสายใหม่ต้องรอดมารอรับเป็นคนละจุดกับที่ข้ามฝั่งไป
ด้านว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม บอกว่า อันดับแรกขอให้ผู้ที่รับโทรศัพท์จากแก๊งดังกล่าว ขอให้ตั้งสติให้ดี จากนั้นขอให้ทบทวนว่าตนเองถูกดำเนินคดีหรือมีคดีอะไรติดตัวมาก่อนหรือไม่ถ้าไม่มี ให้เชื่อไปเลยว่าถูกหลอก ในส่วนของการช่วยเหลือเยาวชนชายรายนี้ จะกันไว้เป็นพยานและมีการคุ้มครองพยาน จากนี้จะประสานตำรวจ ปคม. ให้เข้ามาทำคดี เนื่องจากจุดเริ่มต้นของคดีเป็นการถูกหลอกในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ให้เข้มงวดกวดขันลาดตระเวนพื้นที่ชายแดน
ด้าานายเอกภพ เหลืองประเสริฐ กลุ่มสายไหมต้องรอดกล่าวว่า ที่น่าตกใจคือมีผู้เสียหายบางรายหนีออกมาได้แต่กลับถูกตำรวจของประเทศเพื่อนบ้านส่งตัวกลับไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหมือนเดิม ผู้เสียหายรายนี้บอกว่ายังมีคนไทยอีกนับ 100 คน ถูกกักขังอยู่ในนั้นโดยมีรั้วรอบขอบชิดมีรั้วไฟฟ้า ขอให้หน่วยงานของไทยเร่งดำเนินการช่วยเหลือคนไทยที่ยังตกเป็นเหยื่ออยู่ด้วย.