รถพ่วงบรรทุกสินค้าหวิดวางมวยบนถนน หลังถูกเพื่อนอาชีพเดียวกันขับปาดหน้า เสียหลักปีนขึ้นฟุตบาท ขับไล่บี้กันมากว่า 40 กม.ตร.ตู้ยามท่ามิหรำสกัดไว้ได้
วันที่ 28 มกราคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำตู้ยามท่ามิหรำสกัดรถพ่วงจำนวน 2 คัน หลังมีการแจ้งเข้ามาที่ศูนย์วิทยุ 191 ว่ามีเหตุทะเลาะกันบนถนนสายเอเชียช่วง อ.ป่าบอน – อ.เมืองพัทลุง เมื่อมาถึงหน้าป้อมยามเจ้าหน้าที่เห็นรถพ่วง 2 คันขับไล่บี้กันมาจึงสกัดให้หยุด หลังสกัดได้พบว่ารถพ่วง 22 ล้อ หมายเลขทะเบียน 70-4261 ชุมพร มีนายโสภณ คงกระพันธ์ อายุ 51 ปี ชาวอำเภอกระบุรี จ.ระนอง เป็นผู้ขับขี่ และรถคนขับรถกึ่งพ่วง 14 ล้อ หมายเลขทะเบียน 71 – 6711 สงขลา มีนายสถาพร เพ็ชรมณี อายุ 32 ปี ชาวอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นผู้ขับขี่ เมื่อทั้งคู่ลงจากรถต่างปรี่เข้าหากันด้วยอารมณ์โกรธ โต้เถียงกันอย่างดุเดือดหวิดวางมวยใส่กัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไกล่เกลี่ยและพูดคุยให้ทุกคนมีสติค่อยๆคุยกัน
นายสถาพร ฯ เล่าว่าตนขับรถกึงพ่วง 14 ล้อ มาพร้อมภรรยา บรรทุกยางพาราจากอำเภอหาดใหญ่ ไปส่งที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในระหว่างทาง ช่วงพื้นที่อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง ขณะที่ตนขับรถอยู่ในช่องจราจรซ้ายสุดบนถนน 3 ช่องจราจรส่วนรถคู่กรณีอยู่ในช่องจราจรที่ 2 เมื่อผ่านแยกสัญญาณไฟจราจรมาสักพัก รถคู่กรณีเปิดไฟขอทางเพื่อจะเข้ามาขับในช่องของตน แต่ตนมาด้วยความเร็วประมาณ 70 กม./ชม.ประกอบกับรถบรรทุกสินค้าหนักยากที่จะเบรกกะทันหัน และเกรงว่ารถที่ตามหลังมาจะชนท้าย ตนจึงบีบแตร แต่รถคู่กรณียังเบียดขึ้นมา ตนจึงต้องเบี่ยงซ้ายจนรถปีนฟุตปาท แต่ตนตั้งสติไว้ได้จึงขับตามหลัง ถูกรถคู่กรณีเบรกใส่หวังจะให้ตนชนท้าย แต่ตนเบรกลากล้อเป็นทางยาว สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ใช้รถเป็นอย่างมาก ตนจึงตัดสินใจโทรแจ้งศูนย์วิทยุ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดรถคันดังกล่าวเพื่อเจรจาสอบถาม แต่หากนายโสภณฯกล่าวขอโทษตนสักคำ ตนก็เลิกแล้วต่อกันถือว่าเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันอภัยกันได้ แต่กลับถูกนายโสภณฯและภรรยาต่อว่าตนเสียหาย ตนยอมไม่ได้ ซึ่งหลังเดินทางไปส่งยางพาราเสร็จ พรุ่งนี้ตนจะกลับมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับรถคันคู่กรณี ที่ สภ.ป่าบอน จ.พัทลุง
ทางด้านนายโสภณ ฯ คนขับรถพ่วง 22 ล้อ บอกว่า ก่อนเกิดเหตุตนขับรถ พ่วง 22 ล้อมาพร้อมภรรยา มุ่งหน้าเข้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังไปส่งสินค้าในพื้นที่ อำเภอหาดใหญ่ ระหว่างทางยอมรับว่าตนขับรถบรรทุกพ่วงในช่องจราจรที่ 2 และมาเจอทางที่มีการปิดกั้นเส้นทางจราจรเพื่อซ่อมถนน ตนจึงเปิดไฟขอทาง เพื่อจะเบี่ยงกลับเข้าไปยังช่องจราจรซ้ายแต่อีกฝ่ายกลับบีบแตรใส่ และไม่ยอมให้ทาง ในขณะที่รถของตนวิ่งเข้ามาครึ่งคันแล้ว ตนจึงตัดสินใจเบียดเข้าไปในช่องจราจรที่รถอีกคันวิ่งมา หลังจากนั้นเมื่อแซงไปได้แล้ว ตนก็เหยียบเบรกรถเพราะความโมโห ที่ถูกบีบแตรใส่
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแนะนำให้รถคันที่คิดว่าตนได้รับความเสียหายเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ป่าบอน เพื่อแจ้งความต่อไป