รอง ผบ.ตร. บินด่วน จ.สระแก้ว เปิดปฏิบัติการบูรพา 491 ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งคนไทยข้ามแดนไปกัมพูชา เหยื่อเผยถูกบังคับให้หลอกคนไทยด้วยกัน แฉขั้นตอนนำชี้เส้นทาง เตรียมขอศาล จ.สระแก้ว ออกหมายจับ 19 หมายและคนเปิดบัญชีม้า
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 3 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ,พล ต.ต.สุรจิต ชิงนวรรณ์ รอง ผบช.ภ.2 ,พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ภ.2 ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 และ หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5, พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. และ หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1 ,พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว นำกำลังตำรวจ PCT ชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรภาค 2 และชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ปูพรมพื้นที่ตะเข็บชายแดน จ.สระแก้ว และสามารถบุกจับกุมเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ พร้อมกับเตรียมออกหมายจับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มอีก 19 หมาย และเตรียมขยายผลออกหมายจับเจ้าของบัญชีม้า เปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินอีกกว่า 10 ราย
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งรัดปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนัก ซึ่งจากสืบสวนทราบว่า เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ มีสองสามีภรรยาอยู่ฝั่งประเทศไทย ทำหน้าที่ประสานงานกับชาวจีน หัวหน้าเครือข่ายและเป็นธุระจัดหาคนไทยไปทำงานในประเทศกัมพูชา ผ่านเว๊บไซต์จัดหางานประเทศเพื่อนบ้าน โดยหลอกว่ามีรายได้ดี งานสบาย เมื่อมีคนหลงเชื่อจะขับรถไปรับถึงบ้านและนำพาข้ามชายแดนไปยังประเทศกัมพูชา ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับสองสามีภรรยา กระทั่งล่าสุด ชุดปฏิบัติการบูรพา 491 สามารถบุกเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตัดวงจรส่งคนไทยข้ามแดนไปกัมพูชาและสามารถจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายณฐกร อายุ 28 ปี และ น.ส.อ้อยใจ อายุ 34 ปี ภรรยาของนายณฐกรได้เมื่อวานนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้ง 5 ข้อหาหนักกับสองสามีภรรยาฐาน“ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นฯ , หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นฯ , เพื่อจะเอาคนลงเป็นทาส หรือให้มีฐานะคล้ายทาส หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือหน่วงเหนี่ยวซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใด ,เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสอง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยยอมรับว่า หัวหน้าขบวนการดังกล่าว มีนายปอ หนวดงาม คนไทยเป็นขาใหญ่ คอยควบคุมกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไทยที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา โดยตนเองและเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นเซฟเฮ้าส์ลับที่ใช้พักคนไทยก่อนข้ามชายแดนแล้วจำนวน 2 จุด ในพื้นที่ ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พบพยานหลักฐาน เช่น สมุดบัญชีธนาคาร ระบุชื่อเจ้าของบัญชี น.ส.ชุติมา ประนาประโคน กับ นายธนากร จันทรภิรมย์ หนังสือผ่านแดน Border Pass ของผู้ต้องหา สมุดจดบันทึกรายการเข้า-ออกและค่าใช้จ่าย จำนวน 1 เล่ม
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมฯ ได้นำผู้ต้องหาไปชี้จุดที่นำพาคนไทยข้ามชายแดนไปยังประเทศกัมพูชา บริเวณทุ่งนาด้านหลังปราสาทสด๊กก๊อกธม อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พร้อมกับอธิบายวิธีการและเส้นทางให้ รอง ผบ.ตร.และชุดปฏิบัติการให้ทราบถึงขั้นตอนการเดินทางลักลอบออกนอกประเทศ โดยต้องใช้การเดินเท้าไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร จึงจะถึงแนวชายแดนและเดินข้ามถนนศรีเพ็ญไปตามช่องทางธรรมชาติ โดยผู้ต้องหาให้การว่า เมื่อข้ามไปถึงประเทศกัมพูชาแล้ว จะมีคนนำทางฝั่งกัมพูชามานำทางต่อ เพราะว่าบริเวณแนวชายแดนมีกับระเบิดของทหารกัมพูชาอยู่ หากไม่ชำนาญเส้นทางจะทำให้ถูกกับระเบิดได้ ซึ่งขณะนำชี้ที่เกิดเหตุ มีผู้เสียหายรายหนึ่ง อ้างว่า เคยเป็นเหยื่อในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลบหนีกลับมาประเทศไทยได้ เข้าพบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถาม รอง ผบ.ตร. ด้วยว่า พื้นที่จุดที่มีการลักลอบนำคนไทยออกนอกประเทศอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใด และหลังจากนี้จะดำเนินการแก้ไขปัญหากันอย่างไรต่อไป ทาง รอง ผบ.ตร. บอกว่า เป็นพื้นที่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ทหาร หลังจากนี้คงจะต้องประสานงานกันกับทางกองกำลังบูรพา ทหารพรานและ ตชด. เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทีมข่าวและผู้สื่อข่าวหลายสื่อ พยายามที่จะเข้าไปตรวจสอบเส้นทางบริเวณถนนศรีเพ็ญ ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ถูกกีดกันจากเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าว
รอง ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า สำหรับปฏิบัติการฯดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังมีการร้องขอให้มีการช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยกำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ซึ่งคดีนี้เจ้าหน้าที่ได้พยานหลักฐานมากพอสมควรแล้ว จึงเตรียมออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมรวม 19 คน โดยเฉพาะ นายปอ หนวดงาม ตัวการใหญ่คนไทยที่ควบคุมคนไทยหลอกคนชาติเดียวกันเอง โดยจะเร่งประสานความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ปัจจุบันแก๊งดังกล่าวระบาดหนักและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ เช่น หลอกว่าได้รับรางวัล หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด หรือปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกให้หลงรัก หลอกให้กู้เงินออนไลน์ และมีการพัฒนาไปถึงการ หลอกให้โอนเงินเข้าเว็บเทรดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งเป็นเว็บเทรดผี โดยโอนเงินเข้าไปในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล( Usdt ) แล้วไม่สามารถถอนเหรียญได้ จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชน อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อง่ายๆ หากพบเบาะแสสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน PCT 1599 หรือ บช.สอท. 1441 ตลอด 24 ชม. หรือสายตรง 081-8663000 หรือ www.pct.police.go.th
ทางด้าน “นายโจ๊ก” หรือ “นัท” ผู้เสียหายและพยานที่ถูกนำตัวเข้าชี้เส้นทางของขบวนการดังกล่าว กล่าวว่า หลังจากเดินทางข้ามแดนแล้ว ก็จะมีคนมารับต่อ เมื่อไปถึงฐานปฏิบัติการหรือสถานที่ทำงานจะถูกขังไว้ไม่ให้ออกไปไหน ถูกจับเป็นทาส ให้ทำงานหลอกคนไทยให้โอนเงินให้ โดยบังคับให้ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ถูกกักขังรวมกันประมาณ 50-60 คน หากขัดขืนไม่ทำงาน หรือทำงานไม่ได้ ก็จะถูกทารุณต่าง ๆ นา ๆ ทั้งกักขังและทำร้ายร่างกาย และขู่จะขายต่อให้คนเวียดนามไปในราคา 200,000-300,000 บาท หากเป็นหญิงสาวก็จะถูกข่มขืนรุมโทรม ในบางรายถูกขายต่อให้กับแก๊งอื่น ๆ สภาพเหมือนตกนรก ซึ่งบางคนก็เต็มใจในการหลอกคนไทยเพราะจะได้เงินส่วนแบ่งดี แต่สำหรับตนรับไม่ได้ที่จะต้องหลอกคนไทยด้วยกัน โดยสร้างตัวละครขึ้นมาเพื่อไปหลอกคนไทยมาลงทุน จนมีผู้ถูกหลอกบางคนโทรกลับมาขอเงินคืนและถึงกับจะฆ่าตัวตายด้วย
นายยุทธนา พึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว