ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 นัดสืบพยานงวดสุดท้าย เตรียมลงดาบ 31 ส.ค.นี้ กรณีรุกที่ ธรณีสงฆ์
จากกรณีข้อพิพาทนายทุนร่วมกับเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เคยมารังวัดที่ รว.9 แล้วรุกล้ำที่ลำรางสาธารณะ จนเลยข้ามมาปักมุดยังที่สามเหลี่ยมหน้าวัด ที่เป็นที่ดิน ( สค.1 ) เพื่อดำเนินการออกโฉนดทับที่ธรณีสงฆ์ของวัดป้อมรามัญ หมู่ 4 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ใช้เป็นสิ่งปลูกสร้างศาลาเอนกประสงค์ เพื่อให้ชาวบ้านและหน่วยงานราชการเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านไม่พอใจออกมาประท้วงคัดค้านการรังวัดที่โดยมิชอบว่าเอื้อประโยชน์แก่นายทุน แล้วยังแจ้งว่าทางวัดบุกรุกที่ของนายทุน จนเกิดข้อพิพาท ร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม ฟ้องร้อง ให้มีการรังวัดที่ดินใหม่หลายครั้ง จนทางวัดได้มอบหมายให้นายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความชื่อดัง เป็นตัวแทนในการยื่นฟ้อง ดำเนินคดีอาญามาตรา 157 กับเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน และนายทุน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ในการรังวัดที่ดินรุกล้ำที่วัดและที่สาธารณะเอื้อประโยชน์นายทุน ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
เดิมพื้นที่ของวัดป้อมรามัญมีเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 12 วา แต่หลังจากถนนทางหลวงชนบท อย.2003 ตัดผ่าน เนื้อที่ได้หายไปเหลือแค่ 12 ไร่ 3 งาน 80 วา โดยที่ดินบางส่วนที่หายไปเหลือเป็นที่สามเหลี่ยมหน้าวัด ที่ใช้เป็นสิ่งปลูกสร้างศาลาเอนกประสงค์ เพื่อให้ชาวบ้านและหน่วยงานราชการเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีข้อพิพาทระหว่างวัดชาวบ้าน กับ นายทุนที่เคยมารังวัดที่ดินแล้ว รุกล้ำเข้ามายังที่ลำรางสาธารณะ จนเลยข้ามมาปักมุดยังเขตที่ ดิน สค.1 ของวัด โดยชาวบ้านได้ยื่นคัดค้านการรังวัด จนเป็นเหตุว่าการรังวัดเป็นโมฆะ แล้วยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ตรวจสอบแก้ไขพื้นที่ที่เป็นปัญหาข้อพิพาท ตลอดระยะเวลาทางนายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความชื่อดัง ตัวแทนของวัดป้อมรามัญ ได้ยื่นหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการตรวจสอบรังวัดที่ดินที่เป็นลำรางและที่สาธารณะประโยชน์ ทั้ง อบต.สวนพริก และ อำเภอ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการรังวัดที่ดินสาธารณะแต่อย่างใด
จนกระทั่ง วันที่ 29 ตุลาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี ได้ไต่ส่วน พยานหลายปากว่าคดีดังกล่าวมีมูลความจริงว่าเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินอยุธยา และ นายทุน ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของวัด 1 ไร่ 1 งานเศษ แล้วทำการรังวัดจัดทำเอกสาร รว 25 จ ตามเอกสารหมาย จ.18 และเอกสารขึ้นรูปแผนที่ รว 9 ตามเอกสารหมาย จ 9 ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นจากการยื่นคำร้องขอรังวัด และชี้นำผู้อื่นให้ร่วมมือด้วย โดยใช้รังวัดแบบคำนวณเนื้อที่ตาม รว 25 จ และ การขึ้นรูปแผนที่ รว 9 ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ที่กำหนดไว้ในเอกสารระวางที่ดินและตามรูปแบบที่ท้ายโฉนดที่ดินของจำเลยออกทับที่ดินของวัด ที่ครอบครองอยู่ ทำให้วัดได้รับความเสียหาย จึงตัดสินประทับรับฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ประพฤติไม่ชอบ รับไว้พิจารณา
ความคืบหน้าล่าสุดในวันนี้วันที่ 22 กรกฏาคม 2565 นายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความชื่อดัง ตัวแทนวัดป้อมรามัญ กล่าวว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี นัดสืบพยานฝ่ายจำเลย เป็นการสืบพยานนัดสุดท้ายแล้ว รอการตัดสินนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น.
ด้านพระครูเกษมจันทวิมล (พระอาจารย์แดง) เจ้าอาวาสวัดป้อมรามัญ กล่าวว่า นับเป็นเรื่องตลกดีเหมือนกันที่ฝ่ายจำเลยได้มีหมายเรียกให้ทางพระอาจารย์แดง มาเป็นพยานฝ่ายจำเลย อาจารย์จำพรรษาอยู่วัดป้อมรามัญแห่งนี้เข้า 22 ปีก็ยังคงยืนยันว่าที่วัดไม่ติดที่ใคร ติดกับที่ลำรางทางสาธารณะหมดทั้ง 4 ทิศ ที่ๆมีปัญหาข้อพิพาทหน้าวัด แต่เดิมก็เป็นหลังวัด อาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็ต้องรักษาปกป้องผลประโยชน์ของวัดไม่ให้ที่ธรณีสงฆ์สูญหายไปไหน