เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการกวาดล้างอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผกก.ดส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ปียรัช เวสสะโกศล รอง ผกก.กก.ดส. พ.ต.ต.จักรี นารีผล สว.กก.ดส. ทำการจับกุม นายนครินทร์ พงษ์พิทักษ์ อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” จับกุมได้ภายในบ้านพักแห่งหนึ่ง ซ.ลาดกระบัง 54 ต.ศีรษะจรเข้น้อย อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
สืบเนื่องจากตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สงขลา จับกุม น.ส.อมรรัตน์ อนุเปโฐ อายุ 20 ปี ขบวนการหลอกจำนำทองคำทั่วจ.สงขลา เสียหายมูลค่านับสิบล้านบาท ได้ร่วมกับพวกนำสร้อยคอทองคำปลอมน้ำหนัก 1 บาท ไปจำนำตามร้านทองต่าง ๆ ในราคา 17,000 – 18,000 บาท โดยน.ส.อมรรัตน์ ซัดทอดว่าทองปลอมที่เอาไปจำนำมี น.ส.อรภร โพธิ์แก้ว เป็นคนนำมาให้ ส่วนนำเงินที่ได้จะนำไปให้ น.ส.อรภร และจะได้รับค่าจ้างครั้งละ 1,000 บาท ซึ่งขบวนการดังกล่าวตระเวนก่อเหตุมาแล้วประมาณ 60 ครั้ง ทุกครั้งจะใช้บัตรประชาชนปลอมและทองปลอมที่น.ส.อรภร เตรียมไว้ให้ จากการสอบปากคำ น.ส.อมรรัตน์ ทราบว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกันประมาณ 5 คน ตระเวนนำทองไปจำนำที่ร้านทอง โดยเฉพาะในเขต จ.สงขลา มีร้านทองที่เสียหายมาแจ้งความไว้ถึง 22 ร้าน และพบว่าทองปลอมที่มาจำนำไว้จะมีน้ำหนักและลายเหมือนกันทุกเส้น ต่อมาตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม ประกอบด้วยนายธีรวัฒน์ น้อยพันธ์ อายุ 26 ปี น.ส.อรภร โพธิ์แก้ว อายุ 47 ปี และน.ส.ชนิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี คงเหลือแต่ นายนครินทร์ พงษ์พิทักษ์ ที่สามารถหลบหนีไปได้
ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า นายนครินทร์ ได้หลบหนีมาเป็นช่างสักอยู่ในพื้นที่ กทม. จึงนำกำลังไปติดตามจับกุมได้ดังกล่าว สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ขบวนการของตน มีนายทุนจ้างช่างทองคำมาทำการปลอมทองคำ โดยใช้ทองคำจริงชุบภายนอกและใช้เงินสวมภายใน เพื่อให้น้ำหนักทองคำตรงตามหลักสากล พร้อมมีตราร้านประทับที่น่าชื่อถือ ปั้มลงในทองคำในตำแหน่งที่ถูกต้อง จึงทำให้ร้านทองต่างๆ เชื่อถือและไม่สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้หัวหน้ากลุ่มจะให้สมาชิกกระจายจำนำทองคำดังกล่าวทั่วจ.สงขลา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการร้านทองคำทั่ว จ.สงขลา ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
เบื้องต้นจากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายนครินทร์ มีหมายจับติดตัวถึง 7หมาย ก่อนควบคุมตัวนำส่งตำรวจในพื้นที่ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.